ทุกวันนี้ Hyper-Converged Infrastructure หรือ HCI นั้นได้กลายเป็นทางเลือกหลักของเหล่าธุรกิจองค์กรในการลงทุนระบบ Server และ Storage ไปแล้ว โจทย์สำคัญขององค์กรในทุกวันนี้จึงเป็นเรื่องการเลือก HCI ที่คุ้มค่าและเหมาะสมต่อการใช้งานมากที่สุด HPE พร้อมตอบโจทย์นี้ด้วย HPE SimpliVity 380 Gen10 ระบบ HCI ที่มีความสามารถมากมาย อีกทั้งยังรองรับการทำ Backup และ Disaster Recovery (DR) ได้ง่ายๆ ในตัวโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

HCI: สถาปัตยกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วใน Data Center ของธุรกิจองค์กร

หลายๆ คนคงจะคุ้นเคยกับแนวคิดของ HCI กันมาบ้างแล้วเพราะก็เป็นเทคโนโลยีที่เปิดตัวกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่บางคนเองก็อาจยังไม่เคยได้ยินกันมาก่อน กล่าวโดยสั้นๆ แล้วแนวคิดของ HCI ก็คือการผสานรวม Hypervisor และ Software Defined Storage เข้ากับ Server เพื่อให้ Server แต่ละเครื่องนั้นนำพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีอยู่ในแต่ละเครื่องมาทำงานร่วมกันและสำรองข้อมูลระหว่างกันได้ และนำ CPU กับ RAM บนเครื่องมาใช้กับ Hypervisor เพื่อสร้าง VM ที่จัดเก็บข้อมูลกระจายอยู่บนแต่ละเครื่อง และทำงานทดแทนกันได้ทั้งหมดนั่นเอง

HCI ค่อยๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตลาดมีการวิวัฒนาการไป รวมถึงเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่าง SSD เองก็เริ่มมีราคาที่ถูกลงเรื่อยๆ ทำให้ราคาโดยรวมของระบบ HCI นั้นจับต้องได้มากขึ้น และกลายเป็นที่นิยมทั้งในกลุ่มของธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องรองรับ VM จำนวนมหาศาลแต่ต้องการลดจำนวน Hardware ที่ต้องดูแลรักษาในระบบลง และธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่ต้องการเริ่มต้นกับ Virtualization ในราคาประหยัด และกลุ่มธุรกิจที่ต้องการทำ Virtual Desktop Infrastructure (VDI) ที่ต้องการ Hardware ประสิทธิภาพสูงจำนวนมากมาให้บริการระบบ

HCI ที่ดี ไม่ได้มีแค่ Compute, Storage หรือ Network แต่ต้องมี Backup และ DR ในตัวด้วย

HCI ที่มีมากมายให้เลือกได้หลากหลายในปัจจุบันนี้มีจุดเด่นที่คล้ายคลึงกัน คือการรวมเอาความสามารถในการประมวลผล (Compute), การจัดเก็บข้อมูล (Storage) และการเชื่อมต่อเครือข่าย (Network) เอาไว้ใน Hardware แต่ละชุด และทุกชุดสามารถทำงานร่วมกันเป็น Cluster เดียวกัน กระจายข้อมูลระหว่างกัน และทำงานทดแทนกันได้เมื่อมีอุปกรณ์ชุดใดชุดหนึ่งเสียหายหรือหยุดทำงาน โดยระบบ HCI เหล่านี้ต้องทำงานร่วมกับ Hypervisor จึงจะกลายเป็นโซลูชันที่สมบูรณ์ ง่ายต่อการดูแลรักษาและบริหารจัดการ เพราะทุกอย่างอยู่บน HCI ทั้งหมด

อย่างไรก็ดี จุดหนึ่งที่มักเป็นปัญหาของระบบ HCI ก็คือการสำรองข้อมูล ที่หลายๆ องค์กรเองยังต้องลงทุนระบบ Backup แยกอยู่ และหากต้องมีการทำ DR ตาม Compliance หรือเพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับระบบ IT ของธุรกิจ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามมาในภายหลัง ทำให้สุดท้ายแล้วองค์กรเองก็ต้องลงทุนในระบบอื่นๆ เพิ่มเติม และยากต่อการบริหารจัดการเพราะมีระบบแยกย่อยมากมาย รวมถึงมีขั้นตอนในการกู้คืนระบบหรือข้อมูลที่ซับซ้อน

HPE SimpliVity 380 Gen10 เห็นประเด็นเหล่านี้เป็นจุดสำคัญ จึงได้ทำการผสานความสามารถในการทำ Backup และ DR มาให้พร้อมใช้งานได้ในตัวโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมเลย เพื่อให้เหล่าธุรกิจองค์กรและผู้ให้บริการ Cloud สามารถเริ่มต้นสร้างระบบที่มีความทนทานสูงได้ง่าย บริหารจัดการได้สะดวก และมีขั้นตอนการกู้คืนข้อมูลหรือระบบที่ไม่ซับซ้อน

เมื่ออ้างอิงจากการวิเคราะห์ของ Forrester Research นั้น HPE SimpliVity เองก็สามารถช่วยลดจำนวนอุปกรณ์ภายใน Data Center ลงได้ 10 เท่าเลยทีเดียว ทั้งด้วยความสามารถของระบบ HCI ที่มีอยู่ และการทำหน้าที่ทดแทนระบบ Backup และ DR ที่องค์กรเคยต้องลงทุนก่อนหน้า นับว่าคุ้มค่ากว่าระบบ HCI แบบเดิมๆ ที่เคยเห็นในตลาดไม่น้อยทีเดียว

แนะนำ HPE SimpliVity 380 Gen10 กับความสามารถหลากหลายที่จะเป็นประโยชน์ต่อ Data Center ของธุรกิจองค์กร

Credit: HPE

นอกจากความสามารถในการทำ HCI, Backup และ DR ที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว HPE SimpliVity 380 Gen10 เองก็ยังมีความสามารถอีกหลากหลายที่โดดเด่นเหนือ HCI ค่ายอื่นๆ อีกมากมาย ดังนี้

  • รองรับ Hypervisor จาก VMware vSphere ถึงรุ่นล่าสุด 6.7 U1
  • สามารถบริหารจัดการจากศูนย์กลางได้ผ่าน VMware vCenter และ Microsoft System Center
  • มี Hardware Acceleration สำหรับทำ In-line Deduplication, Compression และ Optimization โดยเฉพาะ ช่วยลดภาระของ CPU และ RAM ในแต่ละ Node ในการจัดการประเด็นเหล่านี้ลงไปได้เป็นอย่างดี
  • ทำงานแบบ All Flash ทั้งหมด ทำให้สามารถทำนายประสิทธิภาพของระบบได้ และมี Latency ที่ต่ำอยู่เสมอ
  • มีเทคโนโลยี Data Virtualization Platform สำหรับทำ In-line Deduplication และ Compression ที่ช่วยลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลลงได้ถึง 52 เท่าโดยไม่กระทบกับประสิทธิภาพการทำงานของระบบโดยรวม (อ้างอิงจากผลสำรวจของ Forrester Research)
  • มีระบบ Backup แถมมาให้พร้อมใช้งาน สามารถสำรองข้อมูลขนาด 1TB ได้ภายในเวลาเพียง 60 วินาที และสามารถทำ Daily Full Backup ย้อนหลังได้ 10 ชุดต่อ VM และ 200,000 ชุดต่อทั้งระบบ
  • มีระบบ Disaster Recovery พร้อมใช้งานได้ในตัว พร้อมความสามารถในการทำ WAN Optimization ลดขนาดข้อมูลที่ต้องส่งไปยังสาขา DR ให้เล็กลง และยังสามารถเชื่อมตรงพอร์ต 10GbE ระหว่างกัน เพื่อสำรองข้อมูลหรือระบบได้โดยไม่ต้องมี Switch เพิ่ม
  • สามารถปรับแต่งและอัปเกรด Hardware ได้ตลอดเวลาตามต้องการ เช่น การเพิ่ม CPU, การเพิ่ม RAM, การเพิ่ม SSD และการเพิ่ม Node
    ทำงานบน HPE ProLiant DL380 Gen10 หมดห่วงเรื่องความมั่นคงปลอดภัยในระดับ Hardware, การสนับสนุนหลังการขาย และการบริหารจัดการ Hardware จากศูนย์กลาง

ด้วยความสามารถเหล่านี้ ก็ทำให้ HPE SimpliVity 380 Gen10 สามารถถูกนำไปใช้ได้ใน Data Center ทั้งสำหรับธุรกิจขนาดเล็กขึ้นไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ รวมถึงผู้ให้บริการ Cloud หรือ Managed Services เองที่กำลังมองหาโซลูชันซึ่งจะสามารถต่อยอดไปสู่การทำ Hybrid Cloud ให้กับลูกค้าได้อย่างง่ายๆ ในอนาคต

ทั้งนี้ราคาของ HPE SimpliVity 380 Gen10 รุ่น All Flash เองก็มีราคาใกล้เคียงกับการลงทุนระบบ Storage ที่เป็นแบบ Hybrid Storage เท่านั้น ดังนั้นในราคาที่ใกล้เคียงกัน HPE SimpliVity 380 Gen10 จึงให้ประสิทธิภาพและความคุ้มค่าที่เหนือกว่า Hybrid Storage ได้อย่างชัดเจน

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ HPE SimpliVity 380 Gen10 ได้ที่ https://www.hpe.com/emea_europe/en/product-catalog/convergedsystems/hyper-converged/pip.hpe-simplivity-380.1009954527.html#

ติดต่อทีมงาน Metro Connect ได้ทันที

ผู้ที่สนใจโซลูชันของ HPE สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอทดสอบใช้งานระบบได้ทันทีที่ทีมงาน Metro Connect คุณโยธิน หงส์พันธุ์ (Mr.Yothin Hongphan) [email protected] 02-089-4343